Pages

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิธีเลือกรถเบนซ์มือสอง


วิธีเลือกรถเบนซ์มือสอง

รถ Mercedes-benz ใหม่นั้น ราคากระชากใจ ถอยออกมาได้ไม่กี่เดือน ขายต่อครั้งนึงหายไปกว่า40%

วิธีการสังเกต

1.ดูทรงก่อน ว่าขัดตาหรือเปล่า คือ ระยะห่าง ของขอบต่างๆมันเท่ากันไหม ขอบประตู ได้แนว หรือเปล่า และ บางรุ่น มี "ศร" ผมจะดูก่อนว่ามีการทำสีไหม ถ้ามีการทำสีแล้ว ที่ว่าจะไม่ชัดมาก ถ้ายิ่งโดนสีโป๊วจะหายไปเลยครับ
           2. ลองเปิด-ปิดประตู ฝากระโปรงหน้าหลัง บานไหน ปิดยาก เปิดยากเป็นพิเศษ ให้ระวังไว้ครับ อาจจะเกิดเหตุมาแล้วไม่ได้ทรง
          3.เรื่องของกระจก ถ้าเป็นรถนอก หลังปี90 กระจกจะมีเลขปีที่ผลิตกระจก บอกไว้ เช่น เลข 5 หมายถึงกระจกผลิตเมื่อปี 95 รถคันดังกล่าวต้องเป็นปี 95 หรือ 96 เท่านั้น ทั้งคัน กระจกจะไม่หนีปีกันมาก เช่นรถปี 95 อาจเจอกระจก .4 กับ .5 น่าจะไม่เจอ .3 หรือ .7 ซึ่งเมื่อกระจกได้รับการเปลี่ยนมา เมื่อ ไปเบิกกระจก จะได้กระจกในปีที่ผลิต อย่าง CE ผม ปี 89 กระจกหลังขึ้นรา ผมไปเบิก กระจก มาเปลี่ยนตอนปี00 ผมได้เลขกระจก .9 คือ ผลิตกระจกเสร็จเมื่อปี 99 กว่าจะส่งมาถึงบ้านเราก็สมควรแล้วที่เป็นปี00

4. บานพับครับ บานพับจะมีปีที่ผลิตบานพับปั้มอยู่ ดังนั้น บานพับจะเกินปี ของรถที่จดทะเบียนไม่ได้ ถ้าเลขบานพับเกิน ก็แปลได้ง่ายๆ ว่าเปลี่ยน บานพับมาไงครับ บานพับไม่ได้เปลี่ยนง่ายๆนะครับ ดังนั้น ถ้าเลข บานพับ ไม่ตรงปี ต้องยิ่ง ดูส่วนอื่นมากขึ้นครับ อีกเรื่องนึงคือ น๊อตยึดบานพับ บางรุ่นเป็นสีดำด้าน บางรุ่น สีเดียวกับตัวรถ วิธีดูเหรอครับ ต้องตรงตามแบบไงครับ รุ่นไหนเป็นสีเดียวกับตัวรถ ต้องเป็นสีเดียวกับตัวรถ หากไม่ใช่เดาได้เลยว่าเปลี่ยนน๊อตมาครับ

5. ฝาถังน้ำมัน เขาจะมี Sticker ปะมา หากมีอย่างงี้ ทำสีอย่างไรก็ไม่หนัก เพราะถ้าเบิกฝาถังใหม่ๆ Sticker มันไม่มีมานะครับ ต้องสั่งต่างหาก ซึ่งทั่วๆ ไปเขาก็ไม่สั่งกัน ถามว่า Seriousไหม ไม่หรอกครับ เพราะรถชนบางคัน ใช้อะไหล่เก่าจากนอก ก็อาจเจอฝาถังมือสอง มี Sticker ติดมา แต่เจ้าของรถคันดังกล่าว คงต้องเฮงจริงๆครับ ถึงได้ฝาถังที่สีตรงกับรถเขา หรือถ้าเอาฝาถังสีอื่นมา ก็ต้องกันเทปพ่น ถ้าแง้มๆ Sticker ออกดู ก็เห็นแล้วว่าเปลี่ยนฝาถังมา เพราะพื้นมันคนละสี

6. ต่อเรื่องตัวถัง สำหรับบางคัน เพื่อนๆอาจเห็นตุ่มเล็กๆที่ขึ้นตามตัวถัง หากเห็นอย่างงี้ เข้าใจได้เลยนะครับ ว่า ผุ ย้ำ ผุครับ แถวบ้านผมเรียกว่า Rusty คือ ขึ้นสนิมแล้ว! บางท่านบอกว่า อุ๊ย นิดเดียวเอง แค่ยุงกัด ขอบอกเลยนะครับ กว่าจะขึ้นให้เห็นได้ขนาดนี้ มันกินที่มากกว่าที่เห็นพอสมควรแแหละครับ ถ้าผุซื้อได้ไหม ได้ครับ แต่เผื่อค่าตัดผุไว้ด้วยนะครับ สังเกตแถวพวกบังโคลน ฐาน Batt เบ้าโช๊ค พวกนี้แหละครับ จุดอ่อนของ Mercedes-Benz ครับ ถ้าเจ้าของเดิมรักษาไม่ดี เวลาล้างไม่ล้วงเอาเศษโคลนออกจากขอบบังโคลน ไม่นานหรอกครับ ผุแน่นอน

 7. จากนั้นดูเลขตัวถังครับ เลขตัวถังสามารถบอกอะไรเราได้มากมายเลยครับ เลขที่ว่าจะมี 2แบบ คือ รถนอก กับรถในประเทศ อย่าง Plate ที่เป็นรถประกอบนอกจะมี Option Code และ เบอร์สีครับ เมื่อเราดูเบอร์สีก็จะทราบได้ว่า รถคันดังกล่าวได้รับการเปลี่ยนสีมาหรือไม่ครับ ส่วนเรื่องเลขตัวถัง บอกเราได้คร่าวๆดังนี้ครับ สมมุติเลขตัวถังละกันนะครับ 124 043 2A 963788
   ·       124 คือ ตัวถัง W124 (ดูว่าตัวถังใดหน้าตาเป็นอย่างไรได้ที่นี่)
   ·       043 คือ แบบ 2ประตู เครื่อง 2300 (รายละเอียด รหัสตัวถัง และเลขเครื่องเลขเกียร์ เลขเพืองท้าย ติดตามได้ใน Benzuser Pocket Book )
  ·       2 คือ พวงมาลัยขวา ประกอบในเยอรมัน ถ้า 1คือพวงมาลัยซ้ายประกอบในเยอรมัน และ 6คือพวงมาลัยขวา ประกอบนอกเยอรมัน 5 คือ พวงมาลัยซ้ายประกอบนอกเยอรมัน A คือ โรงงานที่ผลิต แต่บางรุ่นบอก option หรือการตกแต่งได้ เพราะแต่ละโรงงาน ประกอบ optionไม่เท่ากัน เช่น W124 ถ้า A ไม่มีกาบ Bมีกาบ และ C คือ Eหน้า หรือที่เรียกกันว่า Facelift (รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ W124 code A B Cที่นี่)
  ·       963788 เป็นลำดับในการผลิตครับ
 สำหรับรถในประเทศนั้น ก็จะมีเพียง Plate สีดำ (บนขวา) บอกเลขชัสซีเท่านั้น และมีตราปั้มตรงคานให้เห็นว่า ผลิตคันที่เท่าไหร่ในสายการผลิตเท่านั้นครับ

8. เรื่องของคานหน้าครับ ถ้าได้รับการพ่นสีมา Sticker ที่คาน(บนซ้าย) อาจจะมีรอยกันสีมาติดครับ หากมันไม่มีรอยก็นับว่ารถคันดังกล่าวไม่เคยชนหน้า หรือสาดสีคานกันมาเลยครับ เพื่อนๆหลายท่านคงอยากถามต่อแล้วนะครับว่าถ้ารถถูกเฉี่ยวเบาๆ หรือชนนิดๆ พ่นสีมาแล้วจะดูได้ไหมครับ คำตอบเหรอครับ ดูได้ครับ ถ้าอู่ทั่วๆไปเขาทำ (บางอู่ทำงานแบบงานศิลป์ อย่าว่าแต่ชนเบาเลยครับ ยับทั้งคันยังขับเข้าเต็นท์ขายได้) เอาเป็นว่า ถ้างานทั่วๆไป มันเป็นอย่างงี้ครับ ลองเปิดดูตามขอบประตูหลัง (รูปขาว) หากยังไม่เคยพ่นสีเลย จะไม่มีรอยต่อครับ รอยต่อที่ว่า คือรอยเหมือนเอาสีเป็นแผ่นสองแผ่นมาประกอบกัน มีรอยละอองสีนิดๆอีกต่างหาก รวมถึงประตู เราก็พับขอบยางดูครับ ถ้าพ่นมาจากโรงงาน จะไม่มีรอยต่อและรอยละอองสีตรงสันประตูครับ

9. เมื่อเปิดมาภายใน สิ่งเดียวที่ผม Recomend อย่างจริงจัง คือ กลิ่น ครับ หากไม่ชอบเดินหนีเลยครับ แก้ไม่หายหรอกครับ ผมเจอกับตนเองครับ รถ C180 ที่ผมขายญาติไป เขาติครับว่ากลิ่นน้ำหอมที่ผมใช้นั้นทนไม่ไหว ผมขายเขาไป ทั้งซักทั้งล้าง ผ่านไปกว่า2ปี ผมได้นำเอา Cกลับมาขับ ยังกลิ่นเดิมครับ

10. สังเกตพวงมาลัยนะครับ มันต้องสัมพันธ์กับเลขไมล์  รถวิ่งหมื่นกว่าโล พวงมาลัยต้องใหม่ ไม่มันวาวนะครับ

11. ส่วนของเล่น หากเขามีปะติดอะไรมา ก็ให้รับได้นะครับ เพราะไม่รู้ว่าเขาเจาะอะไรมากบ้าง บางชิ้นหากไปเอาออกอาจมีรูน๊อตนะครับ ซึ่งอาจเป็นเหตุต้องทำให้เราจับเปลี่ยนทั้งชิ้น อย่างภาพขาว พลุแจ้งเหตุ เวลาติดตั้ง ยึดด้วยน๊อต2ตัว หากไม่เอาแล้วไม่ให้มีรู ต้องเปลี่ยนแผงทั้งชิ้น

12. อย่า ลืมลองด้วยว่า สวิสต์ต่างๆใช้งานได้หรือเปล่าโดยเฉพาะแอร์กดปุ่มถ้ากดไม่ไปนี่หลายเงินครับ

13. เรื่องของเครื่องแล้วหละครับ ลองขับซะนะครับ เรื่องแรกที่ควรใส่ใจนะครับ คือเรื่องการ start ครับ ติดง่ายไหม หากติดง่ายก็โอเคครับ ปรกติ หากติดยากแต่รถสวย ค่าซ่อมมันมีตั้งแต่พันกว่าถึงราวๆหมื่นครับ ลองต่อราคาลงมาครับ จากนั้นลองเข้าเกียร์แล้วเปลี่ยนไปๆมาๆ ระหว่าง R กับ D ดูซิว่ากระชากไหม หากเข้า D แล้วมีอาการรอนับ 1 2 3 แล้วกระชาก ให้เดาร้ายๆไว้ก่อนว่า เกียร์จะกลับบ้านแล้วครับ ให้ต่อราคาลงมาตั้งหลักที่ 3หมื่นเป็นอย่างต่ำครับ จากนั้นก็ลองขับซะนะครับ วนไปๆมาๆ ดูว่าเกียร์เปลี่ยนตามรอบหรือไม่ เร่งดีไหมตามรอบไหม หากไม่ตามรอบมีได้หลายอาการ แต่เดาหนักๆไว้ราคาเดียวกับเข้า Rแล้วรอครับ

ลองขับเข้าที่ขรุขระดูช่วงล่างดังไหม ลองวิ่งสัก100 120ดู (ระวังความปลอดถัยด้วยนะครับ) ดูความแน่นลมไม่เข้ามาก เสียงเพืองท้ายหอนไหม จากนั้นหาที่รถติดๆวิ่งดูความร้อน เป้ฯไปได้ลองดูช่วงน้ำมันจะหมดด้วยเข็มน้ำมันแก่วงไหม เมื่อสรุปได้ครบก็จอดแวะทานกาแฟเปิดเครื่องมาดูกันครับ

          14. เวลาดูเครื่องสังเกตคราบน้ำมันฝุ่นต่างๆ หากมันใหม่ทุกซอกทุกมุม ระวังนะครับ เครื่องเพิ่งซ่อมมาแล้วดันมาขาย แปลกแฮะ.. ดูสภาพ มีคราบมีสกปรกแหละดีครับ ปลอดภัย น้ำมันเครื่องซึมๆนิดๆ เอ่อ ซ่อมได้ครับ เปลี่ยนประเก็นได้ แต่ถ้าซิงมากๆกริ๊ปๆเกินไปขัดตากับภายใน รักรถอย่างไร เครื่องใหม่ภายในโทรม แบบนี้ระวังครับ ก็ลองดูๆไปเรื่อยๆ ราวๆ 15นาทีกลับมา Start ดูครับ ถ้าติดยาก เดาได้หลายขุมครับ ต่อราคาลงมาตั้งหลักสักหมื่นละกันครับ

 สุดท้ายก็ไม่มีอะไรแล้วครับ ผมดูส่วนมากก็แบบนี้ ที่แนะนำได้เรื่องสีเรื่องเสียปิดเปิดประตูนั้น ควรดูหลายๆคัน ใจเย็นๆครับ หารถมือสองเหมือนหาแฟนสักคนเลยครับ แฟนไม่ดีหาเรื่องใส่เราได้ทุกเมื่อนะครับ แต่ถ้าแฟนสวย ต้องสู้ครับ รถ Used หาสวยเจอไม่ควรปล่อยให้เธอผ่านไปครับ... ที่ฝากอีกอย่างคือ อย่าใจเร็วครับ เงินเราใช้พรุ่งนี้ไม่สายครับ

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เอกสารคำร้องขอโอนและรับโอน

.

image

หน้าสอง image

สัญญาซื้อขายรถยนต์

image

ข้อแนะนำในการซื้อรถมือสอง

 

เริ่มแรก ในการซื้อรถ ผู้ซื้อรถ ควรจะกำหนดงบ ประมาณ และ รุ่นที่ตนเองต้องการไว้ก่อน จากนั้นเมื่อได้รุ่นที่ตนเองต้องการ เต็นท์รถ จะเป็นแหล่งความรู้พื้นฐานที่ดีสำหรับผู้ซื้อรถครับ สิ่งที่ผมต้องการให้ดูคือ “ เครื่องยนต์ ” เพราะโดยพื้นฐานแล้ว ผู้ซื้อรถส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่า รถรุ่นไหน มีเครื่องยนต์รุ่นไหน ดังนั้นเวลาดูพยายามจำ เครื่องยนต์ ให้ได้ ก่อนครับ เพื่อที่เวลาซื้อจริงๆ จะได้ไม่โดนรถที่เปลี่ยนเครื่องยนต์มา นอกจากนั้น ก็พยายามถามราคาและจำอุปกรณ์เสริมต่างๆด้วยก็ดีครับ ลองเปรียบเทียบสัก 2-3 คัน คุณก็จะได้ข้อมูลตรงส่วนนี้แล้วครับ
ขั้นที่สอง เริ่มหารถที่ต้องการ โดยส่วนใหญ่แล้ว ราคารถบ้านจะถูกกว่ารถเต็นท์ แต่บางคันก็ไม่ใช่ เนื่องจาก ราคารถเต็นท์ มักจะอิงจากราคากลาง บวก กำไร แต่ราคารถบ้าน มักจะตั้งตามความต้องการของผู้ขาย ดังนั้นเวลาหารถ ให้พิจารณาราคาประกอบด้วยครับ พยายามหาจากหลายๆแหล่งเช่น จากเต็นท์รถ , หนังสือรถ หรือรถที่ประกาศขายตามเวบไซค์ต่างๆ ถึงตรงนี้คุณจะได้รถที่เป็นตัวเลือกไว้แล้วครับ
ขั้นที่สาม ไปดูรถ เวลาไปดูรถ ถ้าเป็นคุณผู้หญิงแนะนำว่าไม่ควรไปเพียงคนเดียวครับ และสถานที่ดูนั้น ควรจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยด้วยนะครับ ส่วนวิธีการดูรถแบบง่ายๆ ก็มีขั้นตอนดังนี้ครับ
1. ดูเครื่องยนต์และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เปรียบเทียบ กับข้อมูลที่คุณมีครับ ถ้าไม่ตรงกันก็ลองถามผู้ขายดู ถ้าไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนก็ไม่ควรซื้อครับ
2. รถบางคันก็จะติดเครื่องเสียงมาใหม่ และมักจะอ้างราคาเครื่องเสียง เพื่อเพิ่มราคารถ ตรงนี้ต้องพิจารณาให้เองว่า คุ้มหรือเปล่า เช่น ติดมา 1 แสน จะมาบวก 1 แสนก็เกินไปครับ
3. ดูใต้ท้องรถครับ เช่น คัดซี มีการตัดต่อหรือเปล่า ยางหุ้มต่างๆ และรอยน้ำมันที่อาจจะรั่วหรือซึม ครับ ปกติ ใต้ท้องรถนี่อาจจะไม่ค่อยได้ดูกัน เพราะไม่สะดวก วิธีง่ายๆอีกอย่างคือ ดูสถานที่ที่รถจอดว่ามีรอยน้ำ หรือ น้ำมัน ที่พื้นหรือเปล่าครับ
4. ดูว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุมาหรือไม่ วิธีดูก็ใช้หลักง่ายๆครับ คือ “ ดูที่ตะเข็บ ” ครับ รถที่ออกจากโรงงานรอยตะเข็บต่างๆจะดูเป็นระเบียบ แต่ถ้าชนมา และมีการซ่อม รอยตะเข็บจะดูไม่เรียบร้อย สามารถดูรูปประกอบได้ครับ
โดยบริเวณที่รถมักจะชนคือ
ด้านหน้า เปิดฝากระโปง หน้า แล้วดูรอยตะเข็บ ตามแนว ขอบรถด้านข้าง ตามลักษณะการชนคือ
1. ชนมุม รอยตะเข็บที่มุม จะไม่เรียบร้อย
2. ชนตรงๆ รอยตะเข็บที่มุมทั้ง 2 ฝั่ง จะไม่เรียบร้อย
3. ชนด้านข้าง ให้ดูรอยตะเข็บด้านข้าง จะไม่เรียบร้อย
4. ถ้าชนหนักจนยุบมาถึงห้องเครื่อง ให้ดูรอยตะเข็บตามรูป จะไม่เรียบร้อย
5. ถ้าชนไม่แรง ให้สังเกตุกันชน จะไม่พอดีการโครงรถ เช่น มีช่องว่างเกิดขึ้น
ด้านหลัง เปิดกระโปงหลัง และเปิดผ้าคลุมขึ้น แล้วดูรอยตะเข็บที่เรียกว่า “ รอยแปรงปัด ”
วิธีการดูการเหมือนกับด้านหน้า ทุกอย่าง แต่ถ้าชนหนัก ให้ดูที่รอยแปรงปัด ครับจะไม่เป็นระเบียบ
ด้านข้าง ทั้ง 2 ฝั่ง เปิดประตูออก ให้หมด แล้วดูความเรียบร้อยของโครงสร้างครับ
โดยปกติจะดูยากครับ เพราะจะไม่มีรอยตะเข็บให้ดู ถ้าไม่แรงมาก ความเสียหายมักจะไม่ถึงตัวโครงรถ จะเสียหายเพียงประตู สำหรับความคิดของผม ถือว่า ไม่เป็นเรื่องใหญ่ครับ แต่ถ้าต้องการดูก็ลองดูรอยตะเข็บบริเวณขอบประตูและตัวบานพับครับ
หลังคา (เกิดจากการพลิกคว่ำ) เปิดประตูออกแล้วดูรอยตะเข็บ บริเวณ คานหน้ารถ เพราะปกติ ถ้ารถพลิกคว่ำแล้ว มักจะยุบบริเวณคานหน้ารถ
5. ทดลองขับครับ ส่วนที่ต้องดูคือ
1. ลองขับแล้วปล่อยพวงมาลัยดูว่ามีการกิน ซ้าย หรือ ขวา หรือเปล่า ถ้ามีลองเข้าศูนย์ ตรวจสอบดู เพราะอาจจะเกิดการชนแล้วทำให้ศูนย์เสียได้
2. ดูว่าเครื่องมีปัญหาหรือเปล่า หลัก ง่ายๆ คือ ไม่ควรสั่น , เดินเรียบ และควันที่ออก ไม่ควรดำ (สำหรับรถดีเซล) หรือ ขาว (สำหรับรถเบนซิล)
3. สังเกตเกียร์ ถ้าเกียร์ Auto เวลาเปลี่ยนมีการกระตุก หรือเปล่า ส่วนเกียร์ ธรรมดา ให้ลองว่า เข้าเกียร์ยากหรือเปล่า
4. สังเกตระบบปรับอากาศว่า ใช้งานได้ดีหรือเปล่า
5. ระบบไฟต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไฟหน้า ไฟหลัง และไฟในห้องโดยสาร
6. เบาะนั่งทุกตัว โยก หรือเปล่า
7. เข็มขัดนิรภัย ยังใช้ได้หรือเปล่า โดยการดึงแรงๆ ถ้าดึงแล้วติด ถือว่าใช้ได้
ขั้นสุดท้ายจ่ายเงิน โอนรถ ไม่ควรใช้วิธีโอนลอย คือ จ่ายเงิน แล้วก็จบ ไม่ไปโอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถ สละเวลาเพียงครึ่งวัน หรือให้บริษัทที่รับโอนแทน จัดการ เพื่อความถูกต้องและไม่เกิดปัญหาทีหลังครับ

แหล่งที่มา:http://www.rodmue2.com/content.php?id_news=22

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประมูลรถมือสอง ช่องทางการซื้อรถที่น่าสนใจ

ประมูลรถมือสอง ช่องทางการซื้อรถที่น่าสนใจ 

ถ้าคุณเป็นหนึ่งในอีกหลายคนที่กำลังสนใจรถมือสอง นอกจากการซื้อรถมือสองผ่านเพื่อนหรือคนรู้จัก ผ่านเต๊นท์รถ หรือผ่านอินเทอร์เน็ต วันนี้ผมมีอีกช่องทางที่น่าสนใจสำหรับการซื้อรถมือสองมาแนะนำนั่นคือ การซื้อรถมือสองจากการประมูล
หลายคนได้ยินคำว่าการประมูลแล้วอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องของพ่อค้ารถเท่านั้น หรือว่าต้องใช้เงินสดเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ผู้ใช้รถทั่วไปที่ต้องการประมูลเพื่อนำมาใช้ส่วนตัวก็สามารถเข้าร่วมประมูลได้ และไม่จำเป็นต้องมีเงินสดเสมอไป เขามีบริการจัดไฟแนนซ์ให้หากคุณประมูลรถได้
ก่อนที่ผมจะเล่าถึงวิธีการประมูลขอสรุปข้อดี-ข้อเสียของการซื้อรถประมูลให้คุณทราบก่อนคือ…
- ข้อดีของการประมูลรถมือสอง รถประมูลเป็นรถที่สถาบันการเงินหรือไฟแนนซ์ยึดมาจากเจ้าของเดิมที่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ รถที่อยู่ในการประมูลส่วนใหญ่จะมีสภาพตามที่ยึดมาหรือสภาพตามการใช้งานจริงจากเจ้าของเดิมนั่นเอง จะไม่มีการฟื้นฟูสภาพให้ดูใหม่เหมือนกับรถเต๊นท์ ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการย้อมแมว รถหลายๆ รุ่นในงานโดยเฉพาะรุ่นที่ไม่ใช่รถตลาดจะมีราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับการซื้อผ่านช่องทางอื่น ในการประมูลแต่ละครั้งมีรถให้เลือกมากมายหลากหลายรุ่น หลายสิบคัน โดยก่อนงานประมูลสถาบันการเงินจะมีการอัปเดตข้อมูลรถที่เข้าร่วมประมูลให้ทราบก่อนทางเว็บไซต์คุณสามารถเข้าไปตรวจสอบรุ่นและราคารถก่อนได้เพื่อประกอบการตัดสินใจ
- ข้อเสียของการประมูลรถมือสอง สิ่งที่เป็นข้อเสียสำคัญของการซื้อรถประมูลคือ คุณไม่สามารถทดลองขับได้และไม่สามารถดูรถได้อย่างละเอียด จะดูได้แต่สภาพตัวถังและสภาพโดยรวมภายนอกเท่านั้น ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญ แต่หากเป็นรถปีใหม่ๆ ที่มีอายุประมาณ 1 ปี แม้จะดูเพียงสภาพภายนอกก็พอที่จะพิจารณาและตัดสินใจได้ไม่ยาก ถ้าดูแล้วไม่มีการเฉี่ยวชน ก็สามารถที่จะตัดสินใจซื้อได้ เพราะรถที่มีอายุไม่มากเครื่องยนต์และระบบต่างๆ ส่วนใหญ่จะยังอยู่ในสภาพที่ดี ไม่สึกหรอเท่าไรนัก
มีสถาบันการเงินหลายแห่งที่จัดการประมูลรถมือสอง และมีการจัดกันตลอดทั้งเดือนคุณสามารถติดตามข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของสถาบันการเงินต่างๆ ในการเข้าร่วมประมูลสถาบันการเงินบางแห่งจะมีเงื่อนไขต่างกัน เช่น บางแห่งคุณต้องวางเงินมัดจำประมาณ 2 หมื่นบาท หากประมูลรถได้แล้วคุณไม่รับรถก็จะถูกริบเงินมัดจำ บางแห่งเพียงแค่ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชนเท่านั้น แต่หากไม่รับรถที่ประมูลได้ก็จะถูกขึ้นบัญชีดำไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้อีก หากคุณต้องการจัดไฟแนนซ์ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะถึงวันประมูลเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการดำเนินการและเอกสารที่ต้องใช้
ถ้าคุณกำลังมองหารถมือสองก็ลองพิจารณาช่องทางนี้ดูนะครับ ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ คุณอาจจะได้รถดีในราคาที่ไม่สูงเกินไป

แหล่งที่มา: http://www.directasia.co.th/

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ขาย Benz E-class w211 e220 cdi auto facelift

----------รถออกศูนย์ MB thailand ------------
-----------(ไม่ใช่รถเกรย์นำเข้าอิสระ หรือ รถจดประกอบ) -----------


ปี 2002 วิ่งน้อย แสนต้นครับ เฉลี่ยปีละหมื่นนิดๆคับ-(book-service+คู่มือครบ+กุญแจน้ำเต้า 2ดอกครบ) สภาพป้ายแดง
-มีใบเสร็จบำรงรักษาล่าสุด

-รหัสตัวถัง WDB2110062Axxxxxx
-เครื่องดีเซลเทอร์โบ ประหยัดน้ำมัน 14-15กม/ลิตร
-ประหยัดสุดใน bodyนี้
-เกียร์ Auto ทิปโทรนิค
-พวงมาลัยปรับไฟฟ้า /Multifunction /Cruse Control
-Airbag 8ลูก
-ไฟหน้า Xenon / ไฟตัดหมอก

-แอร์Digital / แอร์หลัง
-เบาะปรับไฟฟ้า เมมโมรี่ 3จุด / ม่านหลังไฟฟ้า /
-กระโปรงหลังเปิดด้วยรีโมท
-ลายไม้
-ภายในสวยสะอาด-ไม่มีกลิ่นเหม็น
-ระบบไฟฟ้าใช้งานได้ปรกติ

-ฟิล์ม 3M ใหม่ๆ (มีใบรับประกัน)
-ผ้ายางกระดุมพื้นเข้ารูป ใหม่
-เบรก ABS /ดิสเบรก 4ล้อ
-max amg st7 17” ใหม่ๆไม่มีรอยเลย
-ยาง bridgestone Potenza 225/45/17 ใหม่ๆ 4เส้น ปี2012


-ภายนอก Faceliftอะไหล่แท้(MB) ทุกชิ้นหน้า-หลัง  คิ้วโครเมียมรอบคัน แต่งให้ใหม่ขึ้น โฉมจมูกแหลม ปี08-09" แต่งไปหลายแสนครับ
 ซื้อไปใช้กันได้ยาวๆ 

-ไม่ใช่งานก๊อปปี๊
-(สภาพสีเงาแวบ ดูแลขัดเคลื่อบอย่างดี)

-ทะเบียนมงคล บวกกันได้18 รวมกันหมดได้9
-รถสภาพดี ไม่มีตำหนิ ซื้อไปใช้งานได้เลย

-  เข้าเช็คศูนย์เบนซ์ (19/สค./56) ทำไปแล้วแสนกว่าบาท อะไรไม่ดีเปลี่ยนหมด -------ได้ไปใช้ยาวสบายแฮ---------

ต้องการผู้ดูแลต่อค่ะ
----------- ท่านใดหารุ่นนี้อยู่ยินดีพาช่างมาดูได้ค่ะ-------ต่อรองได้นะคะ

************ เข้าเช็คศูนย์benz ทุกจุดแล้ว พร้อมใบตรวจสภาพจากศูนย์ เปลี่ยนอะไหล่หลายรายการ ********* ใช้กันยาวๆๆ สภาพดี

รายการบำรุงรักษาล่าสุดใหม่ๆ จุดหลักๆของรุ่นนี้ทำแล้ว
-แม็กAMG ใหม่
-ยางบริสโตนโพเท็นซ่ส ใหม่ 4เส้น
-ตั้งศูนย์
-ยางแท่นเครื่อง L+R ใหม่
-ยางแทนเกียร์ ใหม่
-ปีกนกบน ใหม่
-ปีกนกล่าง L+R ใหม่
-ลูกหมากปีกนกล่าง L+R ใหม่
-บูธปีกนกล่า่ง L+R ใหม่
-บูธขาเกียร์ ใหม่
-ลูกหมากกันโคลงหน้า L+R ใหม่
-ลูกหมากแร็คพวงมาลัยตัวนอก ใหม่
-แขนกันโคลง ใหม่
-ลูกหมากคอม้า ใหม่
-ยางกันฝุ่น ใหม่
-ตัวกันเซ ใหม่
-บูธกันเซ ใหม่
-สายพานเครื่อง ใหม่
-ตัวตั้งสายพาน ใหม่
-ท่ออากาศอินเตอร์ เข้าเทอร์โบ ใหม่
-บูธคันเกียร์ ใหม่
-ลูกหมากคันส่ง คันชัก ใหม่
-ท่อน้ำระบายความร้อน
-น้ำมันเครื่อง+ไส้กรอง ใหม่
-น้ำมันเบรคทั้งระบบ ใหม่
-ที่ปัดน้ำฝน ใหม่
-ฟิล์ม 3M ใหม่
-ภาษี+พรบ.+ ประกัน  ต่อใหม่แล้ว หมด กย.ปีหน้า 57
-อื่นๆอีก สนใจจริงมาดูละกันคุุยรายละเอียดกันนะ

------------------------------ มีใบรับประกันงานจากศูนย์เบนซ์--------------------------
-อื่นๆ สภาพดีพร้อมใบรายงานตรวจจากศูนย์benz ไดไปใช้ยาวสบายๆ เหมือนได้รถใหม่
-ราคา 1,439,000บ.  ปรับเป็น 1,435,000บ. ปรับเป็น 1,433,000บ. ---------- 1,388,000บ. ---------- 1,377,000บ. ชอบจริงคุยได้จ้า


-ผู้สนใจแต่ดูรูปไม่ได้ส่งเมลล์มาที่ theaew211@gmail.com แล้วจะส่งรูปกลับไปนะจ๊ะ :-*

081-255-8361
   

ตรวจรับรถมือสองใบ


                  
แบบฟอร์ม ขั้นตอนตรวจเช็ครถยนต์ มีประโยชน์ดี ช่วยให้มีความละเอียดในการรับรถ
ภายนอก ผ่าน ไม่ผ่าน หมายเหตุ
สีรถดูในที่ร่ม (ต้องไม่มีรอยบุบ ลักยิ้ม)
สภาพกระจก O หน้า O หลัง O ประตู 4 บาน
สภาพรอบคัน
สภาพกันชน O หน้า O หลัง
สภาพไฟ O หน้า O หลัง O เบรค O เลี้ยว O ตัดหมอก
ขอบประตูทั้ง 4 บาน
Seal ยางขอบประตูทั้ง 4 บาน (แน่น ไม่เหนียว)
เปิด-ปิด O กระโปรงหน้า O หลัง O ฝาน้ำมัน O ประตู 4 บาน
ที่ล็อคเด็กประตูหลัง
ขนาดยาง ปีที่ผลิต
ท้ายรถ O ล้ออะไหล่ O แม่แรง O ประแจ
ภายใน
สภาพเบาะ ต้องไม่ฉีกขาด ไม่มีรอยเลอะ
หน้าปัทม์ O ความเร็วรอบ O ความเร็ว O น้ำมัน O ความร้อน
ลายไม้
Front Central Panel
ช่องเก็บของ เปิด-ปิดได้ดี
เข็มขัดนิรภัยทุกจุด (ลองปรับ-กระตุก)
ปรับ O เบาะคู่หน้า O ที่รองศีรษะ
อุปกรณ์ O พรมปูพื้น O ผ้ายาง
ทดลอง O แป้นเบรค O คันเร่ง O เบรคมือ
ปุ่มเปิด O กระโปรงหน้า O หลัง O ฝาน้ำมัน
ระบบไฟฟ้า
เปิด-ปิด O ไฟหรี่ O ไฟหน้าปัทม์ O ไฟหน้า O ไฟสูง O ไฟตัดหมอก
เปิด-ปิด O ไฟหลัง O ไฟเบรค O ไฟถอยหลัง
เปิด-ปิด O ไฟเลี้ยว O ไฟฉุกเฉิน
ใช้งาน O ที่ปัดน้ำฝนทุกจังหวะ O ที่ฉีดน้ำล้างกระจก
กดแตร
เปิด-ปิด ไล่ฝ้า (ลองกดที่กระจกต้องร้อน)
หมุนพวงมาลัยจนสุด 2 ด้าน (ต้องไม่มีเสียง)
ปรับพวงมาลัย ใกล้-ไกล สูง-ต่ำ
ลองเล่นวิทยุ-เทป-CD
ฟังลำโพงทุกจุด
นาฬิกา
กระจกไฟฟ้าปรับขึ้น-ลงได้สุดทุกด้าน
กระจกข้าง O ปรับได้ทุกทิศ O หุบได้
สัญญาณแสดงเตือน O ประตูเปิด O คาดเข็มขัด O เบรคมือ
การใช้งาน O กุญแจรีโมท O Central Lock
ไฟแสดงตำแหน่งเกียร์
ระบบปรับอากาศ
ปรับระดับแรงลมทุกระดับ
ปรับความเย็น-ร้อนของ Air
ปรับช่องลมเปิด-ปิด
ปรับครีบช่องลม
ช่องแช่เย็นด้านหน้า
ห้องเครื่อง
ใต้ฝากระโปรงหน้า
สภาพห้องเครื่อง
สายพานต่างๆ
O น้ำมันเครื่อง O น้ำมันเบรค O น้ำมันเกียร์ O น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์
O น้ำกลั่นแบตเตอรี่ O น้ำหม้อน้ำ O น้ำฉีดกระจก
Strat - ฟังเสียงเครื่องยนต์
เร่งเครื่อง - ฟังเสียงเครื่องยนต์จากห้องโดยสาร
เอกสาร
สมุดทะเบียนรถ
หมายเลขเครื่องยนต์ หมายเลขตัวถัง ตรงกับสมุดทะเบียนรถ
ใบโอนรถ
O เอกสารประกันภัย O พรบ.
O สมุดคู่มือป้ายแดง O ทะเบียนป้ายแดง
คู่มือรถ
เอกสารการรับประกันอุปกรณ์ และเช็คระยะฟรี
ของแถมต่างๆ ตามที่ตกลงกันไว้
ใบเสร็จรับเงินค่า Down

“ Test Car ” ตัวช่วยใหม่ของผู้ซื้อรถมือสอง


“ Test Car ”  ตัวช่วยใหม่ของผู้ซื้อรถมือสอง

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 30 ตุลาคม 2549 15:05 น.

       ก่อนจะซื้อรถสักคัน คุณมีความกังวลใจมากแค่ไหน โดยเฉพาะกับการเลือกซื้อรถมือสอง สำหรับบางคนไม่ใช่แค่ดูเองแต่ต้องหาเซียนรถมาช่วยดู ดูแล้วดูอีก ว่ารถคันนี้ดีจริงดังที่คนขายเขาว่าหรือไม่ แต่สุดท้ายแม้จะดูอย่างดีขนาดไหน ก็ยังคงมีหลายๆ คนที่ได้รถมาขับไม่ถึงอาทิตย์ รถเจ้ากรรมกลับต้องไปอยู่ในอู่ซะนี่ สร้างความช้ำใจเป็นอย่างมากและไม่รู้จะให้ใครมารับผิดชอบ

       วันนี้ ทางเลือกใหม่ในการเลือกซื้อรถมือสองได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว เทสคาร์ (Test Car) สถานรับตรวจสภาพรถทั้งเครื่องยนต์และระบบต่างๆ ของรถยนต์ พร้อมการรับประกันคุณภาพการตรวจ สำหรับผู้ที่ไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่มั่นใจ 100% จำเป็นต้องพึ่งตัวช่วย เพื่อตอกย้ำความมั่นใจว่ารถคันที่กำลังจะซื้อนั้นดีจริงๆ

       ชาย การ์ลินี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทสคาร์ จำกัดเปิดเผยถึงธุรกิจใหม่ เทสคาร์ ว่า เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการช่วยเหลือผู้บริโภคที่ไม่มีความรู้เรื่องรถ รวมถึงตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการค้ารถมือสองที่ต้องการ “คนกลาง” มาช่วยยืนยันคุณภาพของรถที่ตนเองจำหน่าย หรือถ้ามองในแง่ร้าย เทสคาร์ คือผู้จับผิดรถย้อมแมวและไม่สมบูรณ์ทั้งหลายนั่นเอง

       เครื่องมือต่างๆ ของเทสคาร์สามารถตรวจสอบได้ทั้งการทำงานของ เครื่องยนต์ เกียร์ ระบบป้องการลื่นไถล ระบบเบรก การปล่อยไอเสีย โช้คอัพ ระบบไฟหน้า สภาพศูนย์ถ่วง ล้อ และเพลา อุบัติเหตุที่เคยเกิดขึ้นกับรถ และลักษณะจำเพาะของรถ เช่นรุ่นของรถ ที่สำคัญเครื่องมือดังกล่าวสามารถตรวจสอบสภาพได้พร้อมกันสี่คันในคราวเดียว และการตรวจสอบในแต่ละขั้นจะใช้เวลาราว 30 นาที แถมผู้มารับบริการสามารถรับผลได้ทันทีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบดูรายงานผลสภาพรถได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่เว็บไซต์ของบริษัท ภายใน 24 ชั่วโมง หลังตรวจสอบ

        การเลือกใช้เครื่องมือในการตรวจสอบของเทสคาร์สามารถสร้างความเชื่อถือได้มากกว่าการใช้คนเป็นผู้ตรวจสอบ เพราะผลต่างๆ จะถูกแสดงโดยคอมพิวเตอร์ ไม่สามารถตกแต่งแก้ไขหรือดัดแปลงข้อมูลใดๆ ได้เลย

       ทั้งนี้ เทสคาร์ จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เทสคาร์จะไม่แนะนำว่า รถที่นำมาตรวจนั้น ควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ เนื่องจากการตัดสินใจเป็นหน้าที่ของผู้บริโภค แต่ผู้บริโภคที่นำรถมาตรวจและตัดสินใจซื้อรถคันดังกล่าว ทางเทสคาร์ รับประกันผลการตรวจเป็นเวลา 2 เดือนหรือ 2,000 กม. (แล้วแต่สิ่งใดจะถึงก่อน) หากสิ่งที่เทสคาร์ตรวจแล้วได้ผลว่าผ่าน กลับเกิดอาการเสียภายในระยะประกัน ลูกค้าสามารถนำรถมาเข้ารับการซ่อมแซมอาการเสียดังกล่าวได้ฟรี (เทสคาร์ ยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการซ่อมและจะส่งรถของท่านไปซ่อมยังที่ที่เทสคาร์กำหนด)

        เราไม่รับซ่อม และไม่มีธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยานยนต์ ดังนั้น เราจึงสามารถตรวจสอบได้อย่างเที่ยงตรง และรายงานผลอย่างเป็นกลาง โดยเราจะไม่ให้คำแนะนำ หรือเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องกระบวนการซื้อขายรถของลูกค้า เราเพียงแต่ให้ข้อมูลจริง ตามสภาพจริง ลูกค้าจะเป็นคนตัดสินใจเองจากผลที่ได้

        ผลตรวจของเทสคาร์นอกจากจะเป็นสิ่งการันตีคุณภาพของรถยนต์คันนั้นๆ แล้ว เจ้าของรถยังสามารถใช้ผลดังกล่าว บอกกับช่างซ่อมเพื่อแก้ไขปัญหาของรถอย่างถูกต้องตรงสาเหตุได้อีกทางหนึ่ง

        อัตราค่าบริการการตรวจรถของเทสคาร์แบ่งเป็น แบบตรวจละเอียดทุกระบบ เริ่มต้นที่คันละ 3,200 บาท สำหรับรถขับเคลื่อน 2 ล้อความจุไม่เกิน 3,500 ซีซี, คันละ 4,200 บาท สำหรับรถขับเคลื่อน 2 ล้อที่ความจุเกิน 3,500 ซีซี และรถปิกอัพ ขับเคลื่อน 4 ล้อ สุดท้ายสำหรับรถเก๋งหรือรถเอสยูวี ชนิดขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาคันละ 5,200 บาท ที่สำคัญมีแบบตรวจเฉพาะระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ในราคาประหยัดเพียง คันละ 250 บาท และ 800 บาทสำหรับขั้นละเอียด

        ผู้บริโภคท่านใดต้องการความมั่นใจ ก่อนการซื้อรถสามารถสอบถามข้อมูลรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมของการตรวจสอบรถ ได้ที่ศูนย์เทสคาร์ ถ.ศรีนครินทร์ หมายเลขโทร. 0-2320-4490

เทคนิคการเลือกซื้อรถยนต์มือสอง

เทคนิคการเลือกซื้อรถยนต์มือสอง การซื้อรถยนต์มือสองสามารถตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตนเองอย่างง่ายๆดังนี้

1. ภายนอก1.1 ดูโครงสร้างของรถโดยรวม ได้สัดส่วนที่ควรจะเป็นหรือไม่มีการบิดเบี้ยวคดงอจากการเกิดอุบัติเหตุ
1.2 รถที่ผ่านการเกิดอุบัติเหตุและนำมาซ่อม สามารถสังเกตได้หลายวิธีดังนี้ เช่น ลองเคาะที่ส่วนตัว

      ถังรอบคัน โดยการฟังเสียงว่ามีความโปร่งใสเท่ากันหรือไม่ ส่วนที่เคยทำสีจะมีเสียงทึบๆ แต่ถ้ามี
      การเปลี่ยนแปลงทั้งชิ้นวิธีนี้คงจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร
1.3 เช็คตามขอบกระจก ขอบประตู ว่ามีการบิดงอหรือไม่ รวมถึงส่วนที่เป็นขอบยางต่างๆ
1.4 ดูสีรถว่าตรงกับสมุดทะเบียนหรือไม่ อาจมีปัญหาในการโอนได้
1.5 ช่วงล่าง เช็คว่ามีสนิมหรือผุบ้างไหมถ้ามีรถคันนั้นถ้านำไปใช้ ช่วงล่างน่าจะมีปัญหา


2. ภายใน
2.1 ตรวจสอบอุปกรณ์ภายในรถว่ายังใช้งานได้ปรกติ
2.2 สังเกตอุปกรณ์ต่างๆว่าลักษณะที่เป็นเหมาะสมกับการใช้งานหรือเปล่าเช่นถ้าคันเร่งหรือคลัทช์สึก 

      แต่เลขไมล์น้อย อย่างผิดสังเกต อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการกลับเลขไมล์
2.3 เช็คห้องโดยสารภายในโดยดูตามตะเข็บว่าเป็นแนวเรียบหรือไม่
2.4 บริเวณห้องเก็บของท้ายรถตรวจสอบดูตามตะเข็บต้องมีความสมบูรณ์ แนวตะเข็บต้องเรียบเนียน
2.5 ตรวจเช็คยางอะไหล่ และเครื่องมือต่างๆว่ามีครบหรือไม่ทั้งแม่แรง ประแจต่างๆ
2.6 ระบบแอร์ไม่ควรมีเสียงดังของพัดลมและคอมเพรสเซอร์


3. เครื่องยนต์
3.1 ตัวเครื่องยังเป็นเครื่องเดิมๆหรือไม่ ไม่ควรมีการดัดแปลงเครื่องยนต์
3.2 เมื่อสตาร์ทรถ เครื่องต้องเงียบไม่มีเสียงกุกกัก
3.3 เปิดดูเมื่อสตาร์ทรถแล้วมีไอของน้ำมันเครื่องหรือไม่ ถ้ามีเครื่องอาจหลวมแล้ว
3.4 ต้องไม่มีรอยรั่วของน้ำและน้ำมันในจุดต่างๆ เช่น หม้อน้ำ น้ำมันหล่อลื่นที่จุดต่างๆ
3.5 เช็คแบตเตอรี่ ถ้าเปิดที่ปัดน้ำฝนแล้วทำงานช้าผิดปกติ หมายถึงแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม


4. ทดลองขับ
4.1 ระดับความร้อนจากมาตรวัดไม่ควรร้อนจนเกินไป
4.2 เมื่อใช้ความเร็วต้องไม่มีเสียงลมเข้า
4.3 เมื่อใช้ความเร็วสูงจะต้องไม่มีการโคลงหรือส่าย
4.4 ทดสอบระบบเบรกที่ความเร็วหลายๆระดับ
4.5 ขณะขับขี่เครื่องยนต์ไม่ควรมีเสียงดังจนเกินปรกติ
4.6 เมื่อมีการเปลี่ยนเกียร์ต้องไม่มีเสียงดังหรือกระตุก



วิธีการเลือกซื้อรถมือสอง

     ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ารถยนต์คือสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเพื่อความสะดวกสบายหรือเพื่อการทำธุรกิจ ครั้นจะซื้อรถใหม่ป้ายแดงคันโก้ บางทีมันก็อาจจะไม่สมเหตุสมผลกับทุนทรัพย์เรานัก โดยเฉพาะถ้าเป็นรถคันแรก เราอาจจะใช้อย่างคุ้มค่าสมบุกสมบัน ทนมือทนเท้าสักหน่อย ถ้าจะเป็นรถใหม่ใจมันก็ไม่ถึง อย่ากระนั้นเลยลองมามองหารถใช้แล้วเสียก่อนดีกว่า เอาล่ะครับเมื่อตกลงปลงใจได้อย่างนี้แล้ว เราจะมีวิธีการดูรถมือสองอย่างไร ถึงจะได้รถดีๆ มาใช้ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องดูต้องพิจารณาให้อย่างละเอียด ก็มันไม่เสร็จสรรพง่ายดายเหมือนรถใหม่นี่นา นี่เป็นข้อแนะนำในการดูรถมือสอง ข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคในการซื้อรถมือสอง และวิธีตรวจสอบรถแบบที่ท่านสามารถดูเองได้ครับ

1. โครงสร้างของรถ
        ก่อนที่ท่านจะซื้อรถมือสอง ให้ดูสภาพของโครงสร้างภายนอกของตัวรถก่อน จากด้านหน้าไป จรดด้านท้ายรถ สังเกตตามตะเข็บ
รอยต่อของหลังคา ขอบกระจกหน้า-หลัง จากนั้นเปิดฝากระโปรงหน้าดูที่คานหม้อน้ำทั้งด้านบนและด้านล่าง ขายึดกันชนที่ต่อเชื่อมมาจากแชสซีส์ ดูตะเข็บรอยต่อภายในห้องเครื่อง ให้สังเกตดูว่ามีร่องรอยของความเสียหายหรือไม่ เพราะรถที่ถูกชนอย่างหนักพวกรอยเชื่อมหลังจากซ่อมมาแล้ว มักจะไม่เหมือนกับที่มาจากโรงงาน อันนี้คงต้องใช้การสังเกตดูหลาย ๆ คันมาเปรียบเทียบกัน และรถที่ถูกชนมาหนักพวกนี้เวลาที่ใช้งานไปนาน ๆ มักจะพบปัญหาตามมา และในบางครั้งศูนย์ของรถอาจจะคลาดเคลื่อนมากจนเกินที่จะแก้ไขได้ด้วย แต่ถ้าหากมีร่องรอยบ้างไม่มากนัก ก็แสดงว่ารถคันนี้มีการซ่อมแซมจากการชนมาบ้างแล้ว แต่ไม่หนักหนา หรือถ้าไม่พบเลยก็จะเป็นอันดีที่สุด
        การดูด้านหลังก็ให้ดูเหมือนด้านหน้า แต่โครงสร้างส่วนหลังนี้มีความสำคัญน้อยกว่าส่วนหน้า ถ้าจะให้เปรียบเทียบโครงสร้างของรถ
กับโครงสร้าง ของคน ก็คงจะเปรียบได้กับกระดูกที่เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้ร่างกายของเราสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ถ้าเขาเกิดอุบัติเหตุขาหัก ก็จะทำให้เดินกะเผลกเสียศูนย์ เดินแล้วไม่ปกติ เป็น ต้น ซึ่งก็เหมือนกับรถยนต์ หากเสียศูนย์ จนไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว เมื่อเบรกอย่างกะทันหันรถก็อาจหมุนได้ หรือขณะขับขี่ผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังรถก็อาจลื่นไถลได้ง่ายแม้จะไม่ได้เบรกก็ตาม
        โครงสร้างของรถยนต์นั้นหลายส่วนสามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ และก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ หรือถ้าจะเปลี่ยนก็เป็นเรื่องที่
ยุ่งยากสลับซ้บซ้อนมากจนไม่มีใครนิยมทำกัน อย่างบังโคลนหน้า ฝาประโปรง ประตู สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่แทนได้ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุมา ส่วนแก้มหลังที่ต่อกับเสาหลังรถหรือเฟรมตัวถังกับเสาประตู เป็นชิ้นส่วนที่ไม่นิยม เปลี่ยนกัน ด้วยขั้นตอนความยุ่งยากและความแข็งแรงของส่วนนั้นที่จะลดลงหลังจากทำการซ่อมไปแล้ว จึงไม่เป็นที่นิยมของอู่จนพอจะเรียกได้ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ จึงควรจะต้องดูที่บริเวณนี้ให้ดี
2. สภาพตัวถังภายนอกและสีรถ        ลำดับถัดมาเป็นเรื่องของสภาพตัวถังภายนอก ให้ดูว่าสภาพของสีรอบๆ ตัวรถว่่ามีการบวมปูดของสีหรือสีซีดด่าง ผุเป็นสนิม มากน้อยแค่ไหน เพราะการทำสีนั้นแต่ละส่วน แต่ละบริเวณนั้นเช่น บังโคลน ค่าทำสีชิ้นละ2,000-3,000 บาท ถ้าต้องทำสีมากหลาย ๆ จุดคำนวณดูแล้วค่าทำสีจะสูงมาก ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
3. เครื่องยนต์
        คราวนี้ก็ว่าด้วยเรื่องเครื่องยนต์กลไกต่างๆ แม้ว่าในปัจจุบันนี้รถญี่ปุ่น จะมีเครื่องใช้แล้วจากญี่ปุ่นเข้ามาจำหน่ายมากมายและหาง่าย
สุดท้ายลองขับด้วยตัวเอง        การทดสอบขับบนถนนที่มีสภาพถนนต่างๆ หลายๆ แบบจะยิ่งช่วยให้การตรวจสอบนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ช่วงที่ทดลองขับให้พยายามฟังเสียงเครื่องยนต์ดูว่ามีอะไรผิดปกติไหม เข็มวัดอุณหภูมิความร้อนของเครื่องอยู่ในระดับปกติหรือไม่ จับอาการการทำงานของเกียร์ ซึ่งถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติให้สังเกตดูว่าเกียร์เปลี่ยนครบทุกเกียร์ไหม มีการเปลี่ยนเกียร์ ที่ต่อเนี่องและนิ่มนวลหรือไม่ กระตุกมากเกินไปไหม และอย่าลืมสังเกตอีกนิดว่าเกียร์ตอบสนองทันใจไหม เพราะถ้าเร่งเครื่องแล้วรอบขึ้นไปมากแต่รถไม่ค่อยไปก็แสดงว่าชุดคลัตช์ในเกียร์นั้นคงมีปัญาหแล้วแน่
        ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาก็ให้ลองเปลี่ยนเกียร์ดูให้ครบทุกเกียร์จะได้รู้ว่าเกียร์มีปัญหาไหม ถ้าหากมีเสียงดัง แก๊ก แก๊ก...ขึ้นมา ตอนเปลี่ยน
เกียร์ทั้งที่เหยียบคลัตช์สุดแล้วแสดงว่าชุดซินโครเมช เกียร์นั้นชำรุดแล้ว หรือเข้าเกียร์ยากก็อาจจะเกิดจากผ้าคลัตช์หมดหากเป็นไปได้ก็ให้คนที่ไปด้วยช่วยฟังดูด้วยว่าเกียร์ เฟืองท้าย (ในกรณีที่เป็นรถขับหลัง) ลูกปืนล้อมีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีนั่นก็จะเป็นสัญญาณเตือนว่าถ้าคุณซื้อรถคันนี้ไป อีกไม่นานคุณอาจจะต้องเสียงตังค์ซ่อม มันแน่ และยิ่งดังมากเท่าไรคุณก็อาจจะต้องเสียตังค์เร็วขึ้นเท่านั้น
        เวลาวิ่งบนถนนที่ขรุขระ ให้สังเกตด้วยว่ามีเสียงผิดปกติของช่วงล่างไหม การบังคับเลี้ยวเป็นอย่างไร รถวิ่งเอียงหรือเฉไปเฉมาไหม
หรือเบรกไม่อยู่ และลองเหยียบเบรกดูด้วยว่ามันอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ไม่ใช่วิ่งๆ ไปพอเบรกทีรถแฉลบลงข้างทางไปเลยและรถขับเคลื่อน ล้อหน้าให้ทดสอบเพลาขับหน้าด้วยโดยหักเลี้ยวซ้ายสุด ขวาสุดว่ามีเสียงดัง แกร็กๆ เวลาออก ตัวหรือไม่ ถ้าเสียงดังแสดงว่า เพลาขับหน้าชำรุดแล้ว
        สุดท้ายให้ดูสภาพของยางที่ติดอยู่กับรถว่า มีการสึกหรอเพียงใด โดยสามารถสังเกตได้อย่าง ง่ายๆ คือให้ลองเอาเล็บจิกไปที่ดอกยาง
ถ้ายางแข็งมากจนเล็บจิกไม่เป็นรอย หรือเวลาที่วิ่งแล้วมีเสียงของยางกระทบพื้นถนนที่ดังมากก็แสดงว่ายางนั้นเสื่อมสภาพแล้ว แต่ต้องแยกให้ออกด้วย ว่่าเป็นเสียงยางหรือเสียงลูกปืนล้อกันแน่ ถ้ายางนั้นสึกไม่เท่ากันทั้งหน้ายางก็แสดงว่าศูนย์ล้อนั้นมีปัญหาแล้วเรื่องของศูนย์ล้อก็ต้องระวังเอาไว้ด้วย เพราะถ้าแค่ศูนย์ล้อคลาดเคลื่อนธรรมดานั้นสามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าเคลื่อนจนไม่สามารถตั้งได้แสดงว่ารถคันนี้ต้องประสบอุบัติเหตุมาแน่นอน
        ทั้งหมดนี้เป็นการดูรถยนต์มือสองอย่างละเอียดพอสมควร ซึ่งเวลาปฏิบัติจริงคงไม่สามารถทำได้ทุกข้อ แต่ถ้าไม่สนใจในรายละเอียด
เล็กๆ น้อยๆ โอกาสจะผิดพลาดและผิดหวังก็เกิดขึ้นได้ง่ายเช่นกัน อย่างไรก็ดีขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและความพอใจของผู้ซื้อว่าราคากับคุณภาพเหมาะสมกันแค่ไหน ในบางครั้งจ่ายแพงกว่าอีกนิด แต่หลายๆ สิ่งครบสมบูรณ์กว่าอาจจะดีกว่าจ่ายน้อยแต่ต้องมานั่งซ่อมบานปลายกันในภายหลังครับตาม แต่ราคาของเครื่องยนต์ก็เป็นเรือนพันเรือนหมื่น จึงควรตรวจดูอย่างรอบคอบ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น จากนั้นเมื่อสตาร์ทเครื่องแล้ว ให้ดูว่าเครื่องยนต์เดินเรียบหรือไม่และให้ฟังดูว่ามีเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน มีเสียงดังแต็ก..แต็ก ของวาล์วหรือไม่ หรือเสียงดังกั๊ก ๆ ที่เกิดจากแคมชาฟท์หรือเพลาข้อเหวี่ยง สลักลูกสูบหรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่าเครื่องยนต์มีปัญหาใหญ่แน่ ๆ ต่อมาให้ลองฟังดูว่ามีเสียงของลูกปืนไดชาร์จไดสตาร์ทด้วย
        จากการฟังก็มาถึงการใช้วิธีดมกลิ่นที่ท่อไอเสียดูถ้ามีกลิ่นไม่ฉุนมากนักก็แสดงว่าเผาไหม้ได้ หมด แต่ถ้ามีกลิ่นฉุนรุนแรงหรือมีควัน
สีดำออกมาเวลาเร่งเครื่องก็แสดงว่าเผาไหม้ไม่หมดเครื่อง ยนต์ไม่สมบูรณ์ และรถคันนั้นจะกินน้ำมันมากกว่าปกติอีกด้วย หรือถ้าเป็นควันดำสีขาวไหลออก ทางปลายท่อ ยิ่งมีปริมาณมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงว่าเครื่องหลวมมากเท่านั้น
      
4. ระบบแอร์
        ตรวจสอบแอร์ดูว่ามีเสียงของพัดลมดังผิดปกติหรือไม่เสียงของคอมเพรสเซอร์แอร์ดังขึ้นมาไหม ซึ่งทดลองได้ไม่ยากนัก แค่ปิด-เปิดแอร์ แล้ว
ฟังเสียงดู ถ้ามีเสียงดังตอนเปิด และเงียบลงตอนปิด ก็แสดงว่าคอมแอร์เริ่มมีปัญหาแล้วล่ะ
      
5. ระบบเกียร์         สำหรับระบบเกียร์นั้นมีวิธีการตรวจเช็กแบบง่ายๆ รถจอดอยู่กับที่ก็สามารถตรวจได้ ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติให้ลองเข้าเกียร์ D ดูว่ามีการ
กระตุกที่รุนแรงไหม โดยใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรกเอาไว้แล้วใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งลงไปเรื่อยๆ ถ้ารอบอยู่ที่ประมาณ 2,000 รอบ/นาที ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ารอบเลยขึ้นไปถึง2,500-3,000รอบขึ้นไป ก็แสดงว่าชุดคลัตช์เริ่มลื่นแล้วซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมนั้นสูงมาก ตั้งแต่ 20,000 บาทถึงหลักแสนแล้วแต่อาการ เกียร์ธรรมก็เช่นกันให้ติดเครื่องและเข้าเกียร์หนึ่งโดยใช้เท้าขวาเหยียบเบรกเอาไว้และค่อยๆ ปล่อยคลัตช์ดูถ้าเครื่องดับแสดงว่าคลัตช์ยังดีอยู่แต่ถ้าเครื่องยังไม่ดับก็เป็นอันว่าชุดคลัตช์กลับบ้านไปแล้ว
      
6. สภาพห้องโดยสาร        การตรวจสอบภายในห้องโดยสารให้ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าระบบไฟฟ้าทั้งหลาย ระบบไฟสัญญาณต่างๆ บนหน้าปัดขณะที่บิด
กุญแจไปยังตำแหน่ง ON สัญญาณเครื่องหมายต่าง ๆบน หน้าปัดจะต้องมีโชว์ขึ้นมาทั้งหมด เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้วไฟต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องดับหมด ซึ่งถ้าดวงไหนยังไม่ดับแสดงว่า ระบบนั้นต้องมีปัญหา เช่น ไฟ ABS ถ้าติดอยู่แสดงว่าระบบ ABS มีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ และอาจจะต้องเสียเงินค่าซ่อมเป็นเงินหลายตังค์แน่ๆ หรือถ้าไฟ AIR BAG ติดอยู่แสดงว่าระบบ ถุงลมนิรภัยมีปัญหาแน่ ส่วนในบางทีถ้าบิดสวิตช์กุญแจแล้วไฟสัญญาณบางดวงไม่โชว์ทั้งที่มีระบบนั้น ก็แสดงว่า มีการถอดหลอดออกเพื่อไม่ให้ไฟโชว์ แบบนี้ให้ระวังให้ดีและอีกอย่างสำหรับรถรุ่นใหม่ๆ ก็อย่าลืมตรวจกระจกไฟฟ้า สวิตช์ไฟระบบไฟส่องสว่าง ต่างๆ ว่าทำงานหรือไม่ ระบบเครื่องเสียงยังคงใช้ได้อยู่ไหมไม่ใช่มีไว้แค่ประดับรถให้เจ้าของที่จะซื้อเอาไว้ดูเล่นตรวจเบาะนั่งทุกตัวต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมทั้งดูอุปกรณ์อื่นๆประกอบด้วย 
 

เทคนิคการซื้อเบนซ์มือสอง

รถ Mercedes-benz ใหม่นั้น ราคากระชากใจ ถอยออกมาได้ไม่กี่เดือน
ขายต่อครั้งนึงหายไปกว่า40% เพื่อนหลายท่านเคยกล่าวกับผมว่า ซื้อรถใหม่เหมือนเอาเงิน ไปผูกไว้ที่ท้ายรถ เวลารถวิ่งไปเงินก็ปลิวไป ไม่ทีทางได้มันกลับมา ผมฟังแล้ว เห็นด้วย อย่างแรง จึงเริ่มสนใจรถมือสอง ที่สภาพสวย ไม่ใช่อะไรหรอกครับ จริงๆ ภาวะเศรษฐกิจ ของผม ก็ไม่อำนวย เอาที่ไหนมาจ่ายลง ผมเลยสนใจ มาจับรถมือสอง จับมาแล้วสวย เพื่อนเห็นเราใช้ได้ทุกวัน มาขอซื้อให้กำไร ผมก็ขายไป จากนั้นผมก็จับใหม่ จับๆ ขายๆ ชักจะเหนื่อย ไม่ขายแล้ว ตอนนี้ใช้คือใช้ เพราะจับมาแล้ว ใช่ว่าจะใช้ได้ทันทีที่ไหน ไหนจะ ซักพรม ซักเบาะ ซ่อมโน่น ซ่อมนี่ ของดีๆ ใครจะขายจริงไหมหละครับ ไหนๆ ก็ตั้งใจ ไม่ขายแล้ว วันนี้ ผมเลยมาเขียน Trick ในการเลือกของผม ที่พอจะอธิบายได้ ให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันครับ ข้อความทั้งหมดนี้ เป็นเพียงความเข้าใจของผมเท่านั้นนะครับ อาจมีรายละเอียดที่ต่างจากท่านอื่นไปบ้าง ก็เอาเป็นว่า ความเข้าใจของแต่ละท่านแล้วกัน ผมนำเสนอความเห็นเท่านั้นครับ

เบื้องต้นเลย ผมมักจะดูทรงก่อน ว่าขัดตาหรือเปล่า คือ ระยะห่าง ของขอบต่างๆมันเท่ากันไหม อย่างภาพด้านล่าง ขอบประตู ได้แนว หรือเปล่า และ บางรุ่น มี "ศร" หรือ >< ตามรูปทางด้านขวา ผมจะดูก่อนว่ามีการทำสีไหม ถ้ามีการทำสีแล้ว><ที่ว่าจะไม่ชัดมาก ถ้ายิ่งโดนสีโป๊ว><จะหายไปเลยครับ

ถ้าถามว่า เจ้า >< หายไปเป็นไรไหม ผมไม่ Seriousมากครับ ถ้ากรณีอื่น มันผ่าน ซื้อรถ Used โดนบ้างเรื่องธรรมดา แต่อย่าให้ดดนจนหน้าเกลียจเท่านั้นพอครับ ดู >< แล้ว ก็ดูอย่างอื่นด้วย นอกจากร่องแล้ว ลองเปิดปิดประตู ฝากระโปรงหน้าหลัง บานไหน ปิดยาก เปิดยากเป็นพิเศษ ให้ระวังไว้ครับ ว่าอาจะจะเกิดเหตุมาแล้วไม่ได้ทรง นอกจาก >< แล้ว อีกจุดที่พอจะสังเกตได้คือเรื่องของกระจก ถ้ารถคันดังกล่าวเป็นรถนอก หลังปี90 กระจกจะมีเลขปีที่ผลิตกระจก บอกไว้ อย่างในรูปล่าง เลข 5 หมายถึงกระจกผลิตเมื่อปี 95 รถคันดังกล่าวต้องเป็นปี 95 หรือ 96 เท่านั้น ทั้งคัน กระจกจะไม่หนีปีกันมาก เช่นรถปี 95 อาจเจอกระจก .4 กับ .5 น่าจะไม่เจอ .3 หรือ .7 ซึ่งเมื่อกระจกได้รับการเปลี่ยนมา เมื่อ ไปเบิกกระจก จะได้กระจกในปีที่ผลิต อย่าง CE ผม ปี 89 กระจกหลังขึ้นรา ผมไปเบิก กระจก มาเปลี่ยนตอนปี00 ผมได้เลขกระจก .9 คือ ผลิตกระจกเสร็จเมื่อปี 99 กว่าจะส่งมาถึงบ้านเราก็สมควรแล้วที่เป็นปี00

เมื่อดูกระจกเป็นที่เรียบร้อยต่อมาก็เป็นเรื่องของรา ยละเอียดอื่น ที่ผมจะ ใส่ใจมากขึ้น คือ บานพับครับ (ภาพล่างซ้าย) บานพับจะมีปีที่ผลิตบานพับปั้มอยู่ ดังนั้น บานพับจะเกินปี ของรถที่จดทะเบียนไม่ได้ ถ้าเลขบานพับเกิน ก็แปลได้ง่ายๆ ว่าเปลี่ยน บานพับมาไงครับ บานพับไม่ได้เปลี่ยนง่ายๆนะครับ ดังนั้น ถ้าเลข บานพับ ไม่ตรงปี ต้องยิ่ง ดูส่วนอื่นมากขึ้นครับ
อีกเรื่องนึงที่ผมไม่ปล่อยคือ น๊อตยึดบานพับ บางรุ่นเป็นสีดำด้าน บางรุ่น สีเดียวกับตัวรถ วิธีดูเหรอครับ ต้องตรงตามแบบไงครับ รุ่นไหนเป็นสีเดียวกับตัวรถ ต้องเป็นสีเดียวกับตัวรถ หากไม่ใช่เดาได้เลยว่าเปลี่ยนน๊อตมาครับ เปลี่ยนน๊อตแล้วมีผลไหม คงไม่มีใคร อารมณ์ดี อยู่ๆ เอารถของตน ไปเปลี่ยนน๊อตบานพับ เล่นหรอกครับ

เข้าเรื่องตัวถังต่ออีกนิด เกี่ยวกับรายละเอียด ซึ่งต่อจากนี้ ไม่มีก็ไม่ผิด แต่ถ้ามี สำหรับผม เรียกว่าเจ๋งครับ อะไรเหรอครับ ฝาถังน้ำมันไงครับ เขาจะมี Sticker ปะมา (รูปขวา) หากมีอย่างงี้ ทำสีอย่างไรก็ไม่หนัก เพราะถ้าเบิกฝาถังใหม่ๆ Sticker มันไม่มีมานะครับ ต้องสั่งต่างหาก ซึ่งทั่วๆ ไปเขาก็ไม่สั่งกัน ถามว่า Seriousไหม ไม่หรอกครับ เพราะรถชนบางคัน ใช้อะไหล่เก่าจากนอก ก็อาจเจอฝาถังมือสอง มี Sticker ติดมา แต่เจ้าของรถคันดังกล่าว คงต้องเฮงจริงๆครับ ถึงได้ฝาถังที่สีตรงกับรถเขา หรือถ้าเอาฝาถังสีอื่นมา ก็ต้องกันเทปพ่น ถ้าแง้มๆ Sticker ออกดู ก็เห็นแล้วว่าเปลี่ยนฝาถังมา เพราะพื้นมันคนละสี

ต่อเรื่องตัวถัง สำหรับบางคัน เพื่อนๆอาจเห็นตุ่มเล็กๆที่ขึ้นตามตัวถัง (ภาพขวา) หากเห็นอย่างงี้ เข้าใจได้เลยนะครับ ว่า ผุ ย้ำ ผุครับ แถวบ้านผมเรียกว่า Rusty คือ ขึ้นสนิมแล้ว! บางท่านบอกว่า อุ๊ย นิดเดียวเอง แค่ยุงกัด ขอบอกเลยนะครับ กว่าจะขึ้นให้เห็นได้ขนาดนี้ มันกินที่มากกว่าที่เห็นพอสมควรแแหละครับ ถ้าผุซื้อได้ไหม ได้ครับ แต่เผื่อค่าตัดผุไว้ด้วยนะครับ สังเกตแถวพวกบังโคลน ฐาน Batt เบ้าโช๊ค พวกนี้แหละครับ จุดอ่อนของ Mercedes-Benz ครับ ถ้าเจ้าของเดิมรักษาไม่ดี เวลาล้างไม่ล้วงเอาเศษโคลนออกจากขอบบังโคลน ไม่นานหรอกครับ (อาจจะกินเวลานานกว่ารถยนต์หลายยี่ห้อ) ผุแน่นอน

จากนั้นดูเลขตัวถังครับ เลขตัวถังสามารถบอกอะไรเราได้มากมายเลยครับ เลขที่ว่าจะมี 2แบบ คือ รถนอก กับรถในประเทศ อย่าง Plate ที่เห็น (รูปทางซ้ายมือ) เป็นรถประกอบนอกครับ ก็จะมี Option Code และ เบอร์สีครับ เมื่อเราดูเบอร์สีก็จะทราบได้ว่า รถคันดังกล่าวได้รับการเปลี่ยนสีมาหรือไม่ครับ ส่วนเรื่องเลขตัวถัง บอกเราได้คร่าวๆดังนี้ครับ
สมมุตเลขตัวถังละกันนะครับ 124 043 2A 963788
124 คือ ตัวถัง W124 (ดูว่าตัวถังใดหน้าตามเป็นอย่างไรได้ที่นี่)
043 คือ แบบ 2ประตู เครื่อง 2300 (รายละเอียด รหัสตัวถัง และ เลขเครื่องเลขเกียร์ เลขเพืองท้าย ติดตามได้ใน Benzuser Pocket Book )
2 คือ พวงมาลัยขวา ประกอบในเยอรมัน ถ้า 1คือพวงมาลัยซ้ายประกอบในเยอรมัน และ 6คือพวงมาลัยขวา ประกอบนอกเยอรมัน 5 คือ พวงมาลัยซ้ายประกอบนอกเยอรมันA คือ โรงงานที่ผลิต แต่บางรุ่นบอก option หรือการตกแต่งได้ เพราะแต่ละโรงงาน ประกอบ optionไม่เท่ากัน เช่น W124 ถ้า A ไม่มีกาบ Bมีกาบ และ C คือ Eหน้า หรือที่เรียกกันว่า Face filt (รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ W124 code A B Cที่นี่)

สำหรับเลขที่เหลือ คือ 963788 นั้น เป็นลำดับในการผลิตครับ
สำหรับรถในประเทศนั้น ก็จะมีเพียง Plate สีดำ (บนขวา) บอกเลขชัสซีเท่านั้น และมีตราปั้มตรงคานให้เห็นว่า ผลิตคันที่เท่าไหร่ในสายการผลิตเทานั้นครับ
ต่อมา ดูทรงกันต่อ เรื่องของคานหน้าครับ ถ้าได้รับการพ่นสีมา Sticker ที่คาน(บนซ้าย) อาจจะมีรอยกันสีมาติดครับ หากมันไม่มีรอยก็นับว่ารถคันดังกล่าวไม่เคยชนหน้า หรือสาดสีคานกันมาเลยครับ เพื่อนๆหลายท่านคงอยากถามต่อแล้วนะครับว่าถ้ารถถูกเฉ ี่ยวเบาๆ หรือชนนิดๆ พ่นสีมาแล้วจะดูได้ไหมครับ คำตอบเหรอครับ ดูได้ครับ ถ้าอู่ทั่วๆไปเขาทำ (บางอู่ทำงานแบบงานศิลป์ อย่าว่าแต่ชนเบาเลยครับ ยับทั้งคันยังขับเข้าเต็นท์ขายได้) เอาเป็นว่า ถ้างานทั่วๆไป มันเป็นอย่างงี้ครับ ลองเปิดดูตามขอบประตูหลัง (รูปขาว) หากยังไม่เคยพ่นสีเลย จะไม่มีรอยต่อครับ รอยต่อที่ว่า คือรอยเหมือนเอาสีเป็นแผ่นสองแผ่นมาประกอบกัน มีรอยละอองสีนิดๆอีกต่างหาก รวมถึงประตู เราก็พับขอบยางดูครับ(ภาพซ้าย) ถ้าพ่นมาจากโรงงาน จะไม่มีรอยต่อและรอยละอองสีตรงสันประตูครับ

มาถึงเรื่องของภายในกันบ้างนะครับ เปิดมาภายใน สิ่งเดียวที่ผม Recomend อย่างจริงจัง คือ กลิ่น ครับ หากไม่ชอบเดินหนีเลยครับ แก้ไม่หายหรอกครับ ผมเจอกับตนเองครับ รถ C180 ที่ผมขายญาติไป เขาติครับว่ากลิ่นน้ำหอมที่ผมใช้นั้นทนไม่ไหว (สมัยผมเรียนเป็นหนุ่มเจ้าสำอางค์ครับ ฉีดน้ำหอมทุกวัน ใช้อยู่ยี่ห้อเดียว คือ Blue Jeans จนเขาเลิกนำเข้าไปแล้ว) เพื่อนผมหลายคน จำผมด้วยกลิ่น รวมถึงกลิ่นในรถ เป็น Blue Jeans ญาติผมประทับจิตมากครับ บอกว่ากลิ่นวิงเวียนดี ผมขายเขาไป ทั้งซักทั้งล้าง ผ่านไปกว่า2ปี ผมได้นำเอา Cกลับมาขับ ยังกลิ่นเดิมครับ

ต่อดีกว่าครับ หากกลิ่นเป็นที่รับได้ของเพื่อนๆแล้ว เรามาดูภายในกันดีกว่าครับ อย่างแรกสังเกตพวงมาลัยนะครับ มันต้องสัมพันธ์กับเลขไมล์ อย่างภาพบนซ้าย รถวิ่งหมื่นกว่าโล พวงมาลัยต้องใหม่เหมือนภาพทางซ้าย ไม่มันวาวนะครับ ส่วนของเล่น หากเขามีปะติดอะไรมา ก็ดูให้รับได้นะครับ เพราะไม่รู้ว่าเขาเจาะอะไรมากบ้าง บางชิ้นหากไปเอาออกอาจมีรูน๊อตนะครับ ซึ่งอาจเป็นเหตุต้องทำให้เราจับเปลี่ยนทั้งชิ้น อย่างภาพขาว พลุแจ้งเหตุ เวลาติดตั้ง ยึดด้วยน๊อต2ตัว หากไม่เอาแล้วไม่ให้มีรู ต้องเปลี่ยนแผงทั้งชิ้น

อย่า ลืมลองด้วยว่า สวิสต์ต่างๆใช้งานได้หรือเปล่านะครับ ดดยเฉพาะพวกแอร์กดปุ่มถ้ากดไม่ไปนี่หลายเงินครับ
บางรุ่น ใช้ไปนานๆ บังแดดชอบย้วยครับ จะเป้นมากกัรถที่บังแดดไม่มีไฟส่องหน้า หากเพื่อนท่านใดไปเจอบังแดดใหม่ๆ กริ๊บๆ แล้วยังมีรอยพ่นสีหลังคา + ฝากระโปรงหน้า และ ยังเปลี่ยนกรจะจกอีก อันนี้ระแวงได้แล้วนะครับ

เข้าเรื่องต่อนะครับ หลังจากได้ดูสภาพจนพอใจ ก็เป็นเรื่องของเครื่องแล้วหละครับ ลองขับซะนะครับ เรื่องแรกที่ควรใส่ใจนะครับ คือเรื่องการ start ครับ ติดง่ายไหม หากติดง่ายก็โอเคครับ ปรกติ หากติดยากแต่รถสวย ค่าซ่อมมันมีตั้งแต่พันกว่าถึงราวๆหมื่นอะครับ ลองต่อราคาลงมาครับ จากนั้นลองเข้าเกียร์แล้วเปลี่ยนไปๆมาๆ ระหว่าง R กับ D ดูซิว่ากระชากไหม หากเข้า D แล้วมีอาการรอนับ 1 2 3 แล้วกระชาก ให้เดาร้ายๆไว้ก่อนว่า เกียร์จะกลับบ้านแล้วครับ ให้ต่อราคาลงมาตั้งหลักที่ 3หมื่นเป็นอย่างต่ำครับ จากนั้นก็ลองขับซะนะครับ วนไปๆมาๆ ดูว่าเกียร์เปลี่ยนตามรอบหรือไม่ เร่งดีไหมตามรอบไหม หากไม่ตามรอบมีได้หลายอาการ แต่เดาหนักๆไว้ราคาเดียวกับเข้า Rแล้วรออะครับ
ลองขับเข้าที่ขรุขระดูช่วงล่างดังไหม ลองวิ่งสัก100 120ดู (ระวังความปลอดถัยด้วยนะครับ) ดูความแน่นลมไม่เข้ามาก เสียงเพืองท้ายหอนไหม จากนั้นหาที่รถติดๆวิ่งดูความร้อน เป้ฯไปได้ลองดูช่วงน้ำมันจะหมดด้วยเข็มน้ำมันแก่วงไห ม เมื่อสรุปได้ครบก็จอดแวะทานกาแฟเปิดเครื่องมาดูกันคร ับ

เวลาดูเครื่องสังเกตคราบน้ำมันฝุ่นต่างๆ หากมันใหม่ทุกซอกทุกมุม ระวังนะครับ เครื่องเพิ่งซ่อมมาแล้วดันมาขาย แปลกแฮะ.. ดูสภาพ มีคราบมีสกปรกแหละดีครับ ปลอดภัย น้ำมันเครื่องซึมๆนิดๆ เอ่อ ซ่อมได้ครับ เปลี่ยนประเก็นได้ แต่ถ้าซิงมากๆกริ๊ปๆเกินไปขัดตากับภายใน รักรถอย่างไร เครื่องใหม่ภายในโทรม แบบนี้ระวังครับ ก็ลองดูๆไปเรื่อยๆ ราวๆ 15นาทีกลับมา Start ดูครับ ถ้าติดยาก เดาได้หลายขุมครับ ต่อราคาลงมาตั้งหลักสักหมื่นละกันครับ
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรแล้วครับ ผมดูส่วนมากก็แบบนี้ ที่แนะนำได้เรื่องสีเรื่องเสียปิดเปิดประตูนั้น ควรดูหลายๆคัน ใจเย็นๆครับ หารถมือสองเหมือนหาแฟนสักคนเลยครับ แฟนไม่ดีหาเรื่องใส่เราได้ทุกเมื่อนะครับ แต่ถ้าแฟนสวย ต้องสู้ครับ รถ Used หาสวยเจอไม่ควรปล่อยให้เธอผ่านไปครับ... ที่ฝากอีกอย่างคือ อย่าใจเร็วครับ เงินเราใช้พรุ่งนี้ไม่สายครับ


*********ก๊อบเข้ามาอีกทีครับ*************
สุดท้ายผมไปซื้อที่อมรรัชดาครับ บริการหลังการขายดีมากๆๆๆๆ แพงหน่อยแต่ว่าOk สบายใจ ขอให้ได้รถดีดีครับ

รู้ได้ยังไง ว่าไมล์แท้ หรือ ถอยไมล์

สิ่งหนึ่งเลยที่คนในวงการรถทุกคนจะทราบกันเป็นอย่างดีว่าทำได้ แต่ผู้ใช้รถหลายๆคนกลับไม่เคยคิดว่า ทำอย่างงี้ได้ด้วยหรอ นั่นก็คือการถอยไมล์ สำหรับคนที่ไม่เคยรู้มาก่อน ผมขอบอกไว้เลยนะครับว่าการถอยไมล์ หรือ กรอไมล์ หรือ ปรับไมล์  นั้นเป็นเรื่องที่ทำกันอย่างแพร่หลายมากๆ และทำได้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก เพราะฉะนั้นแล้ว รถมือสองที่เราเห็นลงขายกันอยู่ทั่วไปนั้น หลายๆคันก็ผ่านการปรับไมล์มาแล้ว อาจจะมาก หรือ อาจจะน้อย ก็ขึ้นอยู่กับสภาพรถ และวิจารณญานของเต๊นท์ผู้ขายด้วย แล้วทีนี้หลายๆคนก็จะเกิดคำถามว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าคันไหนไมล์แท้ คันไหนถอยไมล์ ในเมื่อการถอยไมล์เป็นเรื่องปกติ วิธีดูก็ต้องใช้หลายวิธีประกอบกันครับ เริ่มต้นเราก็ต้องดูที่สภาพรถว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีเลขไมล์เท่านั้นหรือเปล่า ผมเคยเห็นรถบางคันมีเลขไมล์ 3หมื่นกว่ากิโล แต่สภาพเน่ามาก อันนี้ก็ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ ต่อมาเราก็มาดูหลักฐานทางเอกสารกันบ้าง นั่นก็คือ Book Service เราควรเปรียบเทียบว่า หลังจากการเข้าเช็คตรวจสภาพครั้งสุดท้าย มีเลขไมล์เท่าไหร่ เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เลขไมล์เท่าไหร่ มีความเป็นไปได้มากแค่ไหน เปรียบเทียบกับจำนวนกิโลเมตรที่วิ่งระหว่างรอบการเช็คครั้งก่อนๆ บางทีเจ้าของเก่าเอารถไปเข้าศูนย์ แต่ไม่ได้ลงไว้ใน Book Service เราก็ควรโทรเช็คประวัติให้ดี ดังนั้น รถที่ไม่มี Book Service ให้เราเช็คประวัติได้ ถ้าเช็คไมได้ก็ไม่ควรจะซื้อเลยครับ นอกจากเราไม่สามารถเช็คเลขไมล์ที่แท้จริงแล้ว รถที่ซ่อมอู่นอกมาโดยตลอดมีความเป็นไปได้มากว่าที่สภาพจะไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ทั้งในเรื่องการซ่อมบำรุง และอะไหล่ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้วในเรื่อง “อู่นอกกับศูนย์เบนซ์ เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” ถ้าใครสงสัยก็กลับไปติดตามอ่านกันได้นะครับ ถ้าใครมีคำถามสงสัยเรื่องอื่น ก็โพสท์เข้ามาคุยกันได้ครับที่ www.facebook.com/BenzMotorMall clip_image002
iamsophon แท็ก :



Classic/ Elegance/ Avant-garde

สำหรับคนใช้เบนซ์ 3 คำที่จะต้องเจอในการเลือกซื้อรถเบนซ์ คือ Classic/ Elegance/ Avant-gardeหลายคนสงสัยว่า 3 รุ่นนี้ แตกต่างกันอย่างไร และทำไมราคาถึงต่างกันหลายแสนบาท ในรถเบนซ์ที่ผลิตในไทยแต่ละรุ่นนั้น จะมีการ แยกย่อยออกมาอีกเป็น 3 look ที่แตกต่างกัน ดังนี้ 
  • · Avant-garde ก็หมายถึงแนวทางใหม่ที่ไม่เหมือนใคร ดังนั้น องค์ประกอบต่างๆของรุ่นAvant-garde จะเน้นความนำสมัย ถ้าเราดูที่ C Class w204 ภายนอกดูเผินๆ จะเหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วแตกต่างกันอยู่หลายจุด เช่น  ล้อแม็กอัลลอยคนละลาย ไฟหน้าและไฟท้ายก็แตกต่างกัน ในรุ่น Avant-garde  มีไฟท้าย LED มีคิ้วโครเมียมรอบสปอตไลท์ กระจกเป็นสีฟ้าตัดแสง ภายในลายไม้เป็นอลูลิเนียร์ คือเป็นสีอลูมิเนียมมี texture เป็นเส้นๆ ดูนำสมัยมากๆ ทำให้ลืมภาพรถเบนซ์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ไปเลย และยังมีเบาะหนังแท้ ในด้านสมรรถนะ Avantgarde จะมีสปริงที่ต่างจากรุ่นอื่น ทำให้ช่วงล่างมีความเกาะถนนมากกว่า และมีผลพลอยได้คือทำให้รถเตี้ยกว่ารุ่นอื่นประมาณ 1 cm
  • · Elegance ส่วนประกอบต่างๆจะสื่อถึงความหรูหรา ภายนอกยังคงมีคิ้วโครเมียมรอบคัน แต่กระจกเป็นสีเขียว ภายในเป็นลายไม้หรูหรา ในด้านสมรรถนะนั้นจะนิ่มนวลกว่าเพราะใช้สปริงคนละตัว
  • · สำหรับ Classic เป็นแสตนดาร์ด จะไม่มีคิ้วโครเมียม มือจับสีดำ พวงมาลัยสีดำและไม่มีลายไม้ เป็นสีดำสนิท หนังที่ใช้เป็นหนังเทียม
หลังจากที่เห็นความแตกต่างของ 3 รุ่นแล้ว ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่า รุ่นที่แพงที่สุด คือ  Avantgarde  จะเป็นรุ่นที่ดีที่สุดเสมอไปนะครับ เพราะด้วยความที่ช่วงล่างยึดเกาะถนนมากกว่านั้น ก็ทำให้กระด้างกว่า ซึ่งหลายๆคนไม่ชอบ ดังนั้น จึงอยากให้เลือกตามความชอบของผู้ใช้มากกว่านะครับ แล้วพบกันใหม่ www.facebook.com/BenzMotorMall
iamsophon แท็ก :


SUPERCHARGER VS TURBOCHARGER


             ผมว่ามนุษย์เราก็เก่งจริงๆที่สามารถทำให้เครื่องยนต์มีกำลังเพิ่มขึ้นได้โดยไม่ต้องมีกระบอกสูบใหญ่ขึ้นหรือเพิ่มขึ้น โดยการอัดอากาศหรือเพิ่มปริมาณอากาศเข้า ไปในห้องเผาไหม้ในปริมาณที่มากกว่าปกติ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่นี้ก็คือ  Supercharger และ Turbocharger ครับ สองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไรน่ะหรือ
  • · Supercharger มีชื่อเรียกอีกชื่อที่แฟนๆของรถเบนซ์จะร้องอ๋อกันก็คือ Compressor หรือ Kompressor นั่นเองครับ อย่างที่เรามักจะเคยได้ยินกันว่า E 200 Kompressor ก็คือ Supercharger ตัวนี้นี่เอง หลักการทำงานของ Supercharger นั้นใช้สายพานต่อจาก เครื่องยนต์ มาหมุนมู่เล่ของ Supercharger และSupercharger  ก็จะอัดอากาศเข้าไปในห้องเผาไหม้ เพราะฉะนั้นการปั่นอัดอากาศจะเริ่มตั้งแต่สตาร์ทเครื่องยนต์ จึงได้แรงบิดที่มหาศาลในรอบต้นนั่นเองครับ
  • · ส่วน Turbocharger นั้น จะทำงานโดยการใช้แรงดันของไอเสียที่ออกจากห้องเผาไหม้มาปั่นใบพัดของ Turbocharger ด้านฝั่งไอเสียที่มีแกนเชื่อมต่ออยู่กับใบพัดของ Turbochargerด้านฝั่งไอดีที่ทำหน้าที่อัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ แต่แรงอัดที่ได้จากเทอโบนั้นจะได้จากรอบกลางเนื่องจากต้องเอาไอเสียมาปั่น ดังนั้น Turbocharger  จะตอบสนองช้ากว่า Supercharger ซึ่งจะตอบสนองทันทีเมื่อเหยียบคันเร่งครับ
    www.facebook.com/BenzMotorMall
 
clip_image002
iamsophon แท็ก :

อู่นอกกับศูนย์เบนซ์ ไม่เชื่ิอก็ต้องเชื่อ…

พูดถึงเรื่องซ่อมรถแล้ว คนใช้รถ อาจชอบใช้บริการอู่นอก คืออู่ที่ไม่ใช่ศูนย์เบนซ์ เพราะหลายๆคนอาจคิดว่าถูกดี ต่อราคาได้ คิดว่าไม่ฟัน แต่หารู้ไม่ว่า กรณีนี้อาจเข้าตำราเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย คนใช้เบนซ์หลายคนคงจะทราบว่าเทคโนโลยีรถเบนซ์ในยุคหลังๆ มีความซับซ้อนมากกว่ารถสมัยก่อนมาก ไฟขาดดวงเดียวก็จะขึ้นสัญลักษณ์โชว์ที่หน้าจอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีเทคโนโลยีเช่น Distronic brake ที่มีตัวจับสัญญานสิ่งที่ขวาง พอเทคโนโลยีซับซ้อนมากขึ้นแบบนี้ก็ยากแล้วครับที่ช่างในอู่ทั่วๆไปจะซ่อมแซมและบำรุงรักษาได้ ทำให้เกิดปัญหาที่ตามมาบ่อยมากคือซ่อมไม่จบ และมีอย่างอื่นที่พังตามมา เพราะหลายๆครั้งใช้วิธีแบบเดาสุ่ม ไม่มีความรู้จริง บางอย่างเสียแต่ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง ทำให้ส่วนอื่นๆเสียแบบไฟลามทุ่งเพราะไม่รู้จักการตัดไฟแต่ต้นลม สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือบางครั้งช่างก็แอบสับอะไหล่ออก เอาอะไหล่ไม่ดีใส่ให้เพื่อให้กลับมาเปลี่ยนกับเค้าอีก ซ่อมไม่จบก็เรียกร้องอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นด้วยราคาที่คิดว่าถูกกว่า ที่จริงอาจมีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าตามมาเบื้องหลัง ทีนี้มาดูศูนย์เบนซ์ที่หลายๆคนขยาดคิดว่าแพง  แต่ทราบไหมครับว่าช่างศูนย์เบนซ์นั้นไม่ใช่เอาช่างไก่กามาจากที่ไหนนะครับ เขารับเด็กที่จบปวช.แล้วเอามาเข้าหลักสูตรเทรนนิ่งหลายปี จากเครื่องรุ่นเก่าถึงรุ่นใหม่ ทำให้วิเคราะห์ปัญหาได้ถูก มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางรถเบนซ์ เพราะได้รับการอบรมข้อผิดพลาดหลังจากรถคันนั้นผลิตออกมาขายทำให้รู้วิธีที่ถูกต้อง แถมยังมีการรับประกันอะไหล่  ถ้าซ่อมไม่จบก็เรียกร้องได้ ความปลอดภัยของชีวิต ความสบายใจ เงินมากแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้หรอกครับ แถมรถมีประวัติราคาขายก็ดีกว่า ยังไม่นับถึงการบริการที่ดีกว่าและความสะดวกสบายที่จะได้รับ ขอออกตัวไว้ก่อนเลยนะครับว่าที่ผมเขียนเชียร์ขนาดนี้ ไม่ได้รับใต้โต๊ะจากศูนย์เบนซ์ไหนเป็นพิเศษนะครับ ฮ่าๆ แต่เพราะมีคนที่เจ็บช้ำจากการซ่อมอู่นอกมาปรึกษามากเหลือเกินครับ ทำให้ผมเสียดายแทนทุกคนจริงๆ ที่ผมเสียดายมากที่สุดคือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของช่าง เงินมากแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อชีวิตหรือความปลอดภัยได้หรอกครับ หลายๆคนอาจยังเถียงในใจว่า แพง แต่ผมก็มีทางออกให้ครับ เดี๋ยวนี้มีโชว์รูมเบนซ์มือสอง ที่เป็นที่ปรึกษาการซ่อมบำรุงให้ โดยเค้าจะช่วยสกรีนอีกที ว่าชิ้นไหนต้องซ่อมไม่ต้องซ่อม ชิ้นไหนต้องเปลี่ยน  แถมยังมีส่วนลดในศูนย์ให้อีกด้วย ยังไงผมก็ขอฝากไว้นะครับว่า อย่าเข้าตำรา เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย อย่างที่โบราณว่าไว้เลยนะครับ ถ้ามีคำถามอะไรก็คุยกันได้นะครับที่ www.facebook.com/BenzMotorMall แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับ
iamsophon แท็ก :





ฤกษ์ออกรถใหม่

1.ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะซื้อรถวันอาทิตย์ ตามตำราท่านว่าคนไหนที่ซื้อรถวันอาทิตย์จะรู้สึกม่สบายกายและใจ รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนดวงอาทิตย์มาสุมอยู่กลางหัวใจ 2.ควรจะซื้อรถวันจันทร์ ใครที่ืซื้อรถในวันจันทร์ท่านว่าจะได้รับโชคลาภอยู่เสมอช่วยหนุนให้ทำมาค้าขึ้น ทำธุรกิจมีกำไร 3.ไม่ควรจะซื้อรถวันอังคาร ตามตำราท่านว่าไว้คือ ใครที่ซื้อรถวันอังคารจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจในเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ อยู่เสมอ ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงจะดีที่สุด 4.ไม่ควรจะซื้อรถในวันพุธ สำหรับวันพุธนี้โบราณท่านว่าไวคือจะมีปัญหาร้อนเนื้อร้อนใจ เพราะวันพุธเป็นวันที่แรง ทำให้หนี้สินเพิ่มพูนขึ้นมา ทำให้เจ้าของรถไม่สบายใจถ้าออกรถในวันนี้ 5.ไม่ควรซื้อรถในวันพฤหัสบดี ใครที่ออกรถรถในวันนี้ท่านว่าเป็นวันครู เป็นวันที่จะทำให้เราไม่สบายใจมีเรื่องเข้ามาให้ทุกข์อยู่เสมอ เป็นไปได้หลีดเลี่ยงวันนี้ไปเลยครับ จะดีอย่างมาก ๆ 6.ควรซื้อรถวันศุกร์ ท่านว่าใครก็ตามที่ออกรถวันศุกร์จะได้รับแต่ความร่มเย็นเป็นสุข สบายกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีอะไรมาทำอันตรายเราได้ 7.ไม่ควรออกรถวันเสาร์ สำหรับวันเสาร์นี้ท่านว่าร้ายแรงที่สุดที่ไม่ควรออกรถอย่างยิ่งเลย เพราะตามโบราณท่านว่าจะเกิดอุบัติเหตุง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็จะทำให้เสียเงินเสียทองไปโดยเปล่าประโยชน์ 8.ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะออกรถในวันพระ ตามโบราณท่านว่าไว้เลยสำหรับวันพระเป็นวันที่แข็ง ทำให้คนออกรถวันนี้มีแต่เรื่องไม่สบายใจหลังจากการออกรถมา เป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงจะดีที่สุดครับ ฉะนั้นวันดีที่ควรออกรถจะมีสองวันคือ วันจันทร์และวันศุกร์ที่จะช่วยหนุนให้เราพบแต่ความโชคดีมีชัยตลอดการเดินทางและการใช้ชีวิต
www.facebook.com/BenzMotorMall
iamsophon แท็ก :








ใครว่ารถเครื่องใหญ่ กินน้ำมันกว่ารถเครื่องเล็ก!

ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่อยู่คู่กับวงการรถยนต์มานานแสนนานพอๆกับ การเริ่มใช้เครื่องยนต์ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าความเชื่อนี้ ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป!!!! ในรุ่นเดียวกัน รถที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่าเช่น E 240 2600 CCกับE200 Kompressor 1800 CC ใน 2 รุ่นนี้ ผมได้เคยทดสอบอย่างจริงจังโดยการขับรถในระยะทางไกล และความเร็วปานกลางถึงสูง ติดต่อกันเป็นเวลา  1 สัปดาห์ และหาค่าเฉลี่ยในการเติมน้ำมันออกมา กลับพบว่า ค่าน้ำมันของ  E 240 2600 CC กลับถูกกว่า E 200 Kompressor  ถึง 15% เลยทีเดียว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น !!!! ผลการวิจัยจากหลายสถาบันในต่างประเทศ ได้พบว่า หากเราขับรถด้วยความเร็วปานกลางถึงสูง (100-150 km/hr) รอบเครื่องยนต์ของรถเครื่องใหญ่ เช่นเครื่อง V6 ขนาด 2500 CC ขึ้นไป จะใช้รอบเครื่องที่ประมาณ 3000-5000 รอบต่อนาที แต่รถที่มีเครื่องยนต์เล็กขนาดประมาณ 2000 CC ในความเร็วเท่ากันกลับใช้รอบเครื่องประมาณ 4500-6000 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นผลทำให้เครื่องยนต์ต้องจ่ายน้ำมันมากกว่าและเกิดความร้อนสะสมมากขึ้นในเกียร์และเครื่องยนต์ ทำให้นอกจากจะกินน้ำมันมากกว่าเครื่องใหญ่แล้ว ยังเกิดเสียงเครื่องที่ดังรบกวนมากกว่า และเกิดความสึกหรอของเครื่องยนต์และเกียร์มากกว่าอีกด้วย ดังนั้น ถ้าคุณใช้รถยนต์ในระยะทางที่สั้น และขับด้วยความเร็วต่ำ เช่นการใช้งานในเมืองที่มีการจราจรติดขัด คุณก็ควรที่จะเลือกรถที่มีเครื่องเล็ก แต่ถ้าคุณมักจะใช้รถในระยะทางไกล และขับด้วยความเร็วสูง เช่นขับบนทางด่วนยาวๆ หรือไปต่างจังหวัด รถเครื่องใหญ่จะสามารถช่วยคุณประหยัดน้ำมันและค่าซ่อมบำรุงได้อย่างแน่นอน ทุกคนคงเห็นแล้วใช่มั้ยครับ ว่าเครื่องเล็กไม่ได้ประหยัดน้ำมันกว่าเครื่องใหญ่เสมอไป ดังนั้นคุณควรที่จะเลือกขนาด และชนิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ จะเป็นการดีที่สุดครับ หากใครมีข้อสงสัยเกี่ยวกับรถเบนซ์ หรือความคิดเห็นใดๆ ก็เข้ามาคุยกันได้นะครับ ที่ www.facebook.com/BenzMotorMall แล้วพบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะครับ
iamsophon แท็ก :






ข้อมูลและภาพรถเบนซ์รุ่นต่างๆ


เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส

W136 (พ.ศ. 2478 - 2498)
W120 (พ.ศ. 2496 - 2505)

File:Heckflosse110.jpg
W110 fintail (พ.ศ. 2504 - 2511)
File:Mercedes Benz 220 (W115).jpg
W114 (พ.ศ. 2511 - 2519)
File:123 280E 0477110307 (14wik).JPG
W123 (พ.ศ. 2519 - 2528)

W124 โลงจำปา (พ.ศ. 2527 - 2538)






W210 ตากลม (พ.ศ. 2538 - 2545)

W211 (พ.ศ. 2545 - 2552) (2002-2009)

W212 (พ.ศ. 2552 - 2556)
 
 

 

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส(Mercedes-Benz C-Class)

 เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราระดับต้น ที่ผลิตโดยบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเริ่มผลิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 และยังมีรุ่นประกอบในประเทศไทยด้วย โดยประกอบที่โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย




1997-2000 Mercedes-Benz C 200 (W202) Classic sedan
 

2002-2004 Mercedes-Benz C 180 Kompressor (W203)
 

2010 Mercedes-Benz C 200 CGI (W204)
 
 
 
 
 

 

เครื่องยนต์เบนซิน

รุ่น
เครื่องยนต์
กระบอกสูบ
C 180
1.8 16V M111
S4
C 200
2.0 16V M111
S4
C 220 / C 230
2.2, 2.3 16V M111
S4
C 200 Kompressor
2.0 16V K M111.944
S4
C 230 Kompressor
2.3 16V K M111
S4
C 240
2.6 18V M112
V6
C 280
2.8 24V M104
S6
C 280
2.8 18V M112
V6
C 36 AMG
3.6 24V AMG M104
S6
C 43 AMG
4.3 24V AMG M113-E43
V8
C 55 AMG
5.4 24V AMG M113-E55
V8

 

เครื่องยนต์ดีเซล

รุ่น
เครื่องยนต์
กระบอกสูบ
C 200 Diesel
2.0 8V D OM601
S4
C 200 CDI
2.2 16V CDI OM611
S4
C 220 Diesel
2.2 16V D OM604
S4
C 220 CDI
2.2 16V CDI OM611
S4
C 250
2.5 20V D OM605
S5
C 250 Turbodiesel
2.5 20V TD OM605
S5